ลักษณะการทำงานของระบบสำนักงานอัตโนมัติ
การทำงานในระดับองค์การต้องการทั้งบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในเชิงการพัฒนาและการเป็นผู้ใช้
Software เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันมี
Software ใหม่ๆ
ที่จะคอยช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานของระบบสำนักงานอัตโนมัติ เช่น
ระบบปฏิบัติการ Windows Linux NT เป็นต้น
ซึ่งจะมี Software ที่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการของแต่ละชนิดได้เช่น
ระบบปฏิบัติการ Windows จะมีชุด Microsoft
Office ที่จะคอยอำนวยความสะดวกในการทำงานด้านต่างๆ
ของสำนักงานระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์สำหรับธุรกิจวีดีโอคอนเฟอร์เป็นการนำระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมมาใช้ในการสื่อสารภาพ
เสียงและข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการประชุมทางธุรกิจหรือสัมมนาระยะไกลระหว่างกลุ่มบุคคลที่อยู่ต่างสถานที่ให้สามารถ
ร่วมประชุมสนทนาโต้ตอบกันได้พร้อมทั้งเห็นภาพผู้เข้าร่วมประชุม
และยังสามารถแสดงภาพต่างๆ ประกอบ การประชุมได้อีกด้วย
นอกเหนือจากการประชุมหรือสัมมนาแล้ววีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ยังสามารถนำไปใช้
ในการฝึกอบรม แก้ปัญหาลูกค้า
และช่วยสนับสนุนการนำเสนอสินค้าได้วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
1. วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แบบนิ่ง
(Still Video)
เป็นการสื่อสารที่แสดงออกมาเป็นภาพนิ่งซึ่งอาจจะมีความต่อเนื่องหลายภาพได้แต่ทุกภาพ
ที่ปรากฏบนจอแสดงภาพจะเป็นภาพนิ่งทุกภาพรูปแบบของวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์นี้เป็นลักษณะของการประชุม
ทางเสียงประกอบภาพมากกว่า เนื่องจากความสะดวกง่ายดาย
และค่าใช้จ่ายที่ต่ำเหมาะแก่การเสนอรูปภาพ เอกสาร แผนผัง หรือ รูปกราฟต่างๆ
2. วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แบบเคลื่อนไหว
( Motion Video )
การสื่อสารลักษณะนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะนอกจากจะส่งภาพของการประชุมที่เป็น
ธรรมชาติแล้ว ยังสามารถส่งภาพนิ่งหรือเอกสารต่างๆ
ได้ด้วยข้อดีของวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
2.1 สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก
2.2 สามารถประหยัดเวลาในการเดินทาง
ทำให้เกิดความสะดวก และรวดเร็ว
2.3 สามารถใช้ข้อได้เปรียบของวีดีโดคอนเฟอร์เรนซ์เหนือคู่แข่งขันด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือ
กลยุทธ์ของบริษัทรวมทั้งได้รับความคิดเห็นที่สำคัญต่อการปรับปรุง
และพัฒนาได้อย่างทันเหตุการณ์
หลักการของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลที่ประกอบเป็นเครือข่าย
ที่มีการเชื่อมโยง ต้องเชื่อมต่อถึงกัน
รูปแบบหลายอย่างตามความเหมาะสมซึ่งขึ้นกับเทคโนโลยี
โครงข่ายการเชื่อมโยงนี้เรียกว่าโทโปโลยี เช่น
ถ้าหากพิจารณาว่าภายในสำนักงานมีอุปกรณ์สำนักงานที่ใช้งานอยู่กระจัดกระจาย
และต้องการเชื่อมโยงต่อถึงกัน หากต้องการเชื่อมต่อโดยตรงจะต้องใช้สายเชื่อมโยงมาก
ดังรูปที่ 1
ปัญหาของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์เทอร์มินัลหลายๆ ครั้ง เห็นจะได้แก่
สายเชื่อมโยงระหว่างสถานีที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
และระบบการสวิตซ์เพื่อใช้เชื่อมโยงข้อมูลในการสื่อสารระหว่างสถานี
หากใช้สถานีมากขึ้นการเชื่อมโยงต้องใช้สายมากขึ้นอีกมาก
และขณะที่สถานีหนึ่งทำงานก็จะใช้เส้นทางตรงไปยังอีกสถานี
ทำให้การใช้สายสัญญาณไม่เต็มประสิทธิภาพ
รูปที่ 1
การต่อเชื่อมโดยตรง
จึงมีความพยายามที่จะหารูปแบบการลดจำนวนสายสัญญาณเพิ่มประสิทธิภาพ
ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งก็มีโทโปโลยีในการใช้สื่อสารหลายรูปแบบ ดังรูปที่ 2
รูปแบบดาวมีรูปแบบการต่อโดยการนำสถานีต่างๆ
หลายสถานีต่อรวมกันเป็นหน่วยสวิตชิงกลาง
การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรสวิตชิง
การทำงานของหน่วยสวิต ชิงกลาง
จึงคล้ายกับศูนย์กลางของการตัดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่างๆ
ที่ต้องการติดต่อกัน
รูปแบบวงแหวนประกอบด้วยสัญญาณข้อมูลจากสถานีต่าง
ๆ ที่เรียกว่า รีพีตเตอร์ (repeter) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากสถานีแล้วต่อไปยังรีพีตเตอร์ตัวถัดไปเรื่อยๆ
เป็นรูปวงกลม หากข้อมูลที่ส่งเป็นสถานีใด
รีพีตเตอร์ของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานี
รีพีตเตอร์จึงมีหน้าที่รับข้อมูลและตรวจสอบว่าเป็นของตนเองหรือไม่
ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป
รูปแบบบัสและทรีเป็นรูปแบบที่มีผู้นิยมใช้มากแบบหนึ่ง
เพราะมีโครงสร้างไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้รีพีตเตอร์หรืออุปกรณ์สวิตชิ่งเหมือนแบบวงแหวน
หรือรูปดาว ทุก ๆ
สถานีจะเชื่อมต่อเข้าหาบัสโดยผ่านทางอุปกรณ์อินเตอร์เฟสที่เป็นฮาร์ดแวร์
การจัดส่งข้อมูลลงบนบัสจึงสามารถทำให้ข้อมูลไปถึงอุปกรณ์ทุกสถานีได้
การจัดส่งในวิธีนี้จึงต้องมีการกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน
เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน วิธีการจัดแบ่งอาจแบ่งช่วงเวลา
หรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่สัญญาณแตกต่างกัน
ความสำคัญอยู่ที่การทำให้ทุกสถานีสื่อสารถึงกันได้
หากพิจารณาว่าภายในองค์กรหนึ่งเสมือนมีโครงข่ายข้อมูลอยู่โครงข่ายหนึ่ง
ดังนั้นทุกๆ สถานีจะต่อร่วมเข้าหาโครงข่ายนี้ หรือหากมองภาพที่กว้างออกไป
เช่น ธนาคารแห่งหนึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลอื่น เช่น
เอทีเอ็มทุกตัวก็เชื่อมเข้ากับเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเช่นกัน
โครงข่ายสื่อสารข้อมูลที่อยู่ในพื้นที่จำกัด ก็เรียกว่าระบบโครงข่ายท้องถิ่น (แลน-LAN
- Local Area Network) หากอยู่ระหว่างห่างไกลกันมากๆ
ก็เรียกว่า แวน (WAN - Wide Area Network) ไม่ว่าจะเป็นโครงข่ายอย่างไรอาจเขียนแทนได้
ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 สถานีต่าง ๆ ต่อเข้ากับโครงข่ายสื่อสารข้อมูล
ภายในโครงข่ายไม่ว่าจะใช้โทโพโลยีอย่างไร
จะทำหน้าที่สำคัญในการสวิตช์ข้อมูลจากสถานีหนึ่งให้ไปยังปลายทางอีกสถานีหนึ่งได้อย่างถูกต้อง
เช่น สถานี A เป็นเวิร์ดโปรเซสเซอร์
เมื่อป้อนเอกสารจบแล้วต้องการส่งเป็นอีเมล์ (Email) ไปยังสถานี
B ที่อยู่บนเครือข่าย ผู้ใช้ก็จ่าหน้าบอกแอ็ดเดรสของสถานี B
แล้วส่งเข้าไปในเครือข่าย เครือข่ายจะสวิตช์ข้อมูลให้ไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง
เพื่อส่งเข้าหาสถานี B การสวิตช์ข้อมูลในเครือข่ายจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นหัวใจของการติดต่อสื่อสารในระบบสำนักงานอัตโนมัติ
การสวิตช์ข้อมูลมีหลายแบบ
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สวิตช์ข้อมูลเราเรียกว่า
ชุมสายสื่อสารข้อมูล ดังนั้นชุมสายโทรศัพท์ที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดีก็เป็นวิธีการสวิตช์ข้อมูลวิธีหนึ่ง
ผู้ที่ใช้โมเด็มเชื่อมโยงเข้ากับข่ายโทรศัพท์และต่อเข้าหากันได้ก็ใช้เครือข่าขององค์การโทรศัพท์ฯ
หรือใช้ชุมสายภายในที่เรียกว่า PABX นั่นเอง
วิธีการของชุมสายสื่อสารข้อมูลที่อยู่ในเครือข่ายที่ใช้กันโดยทั่วไป
สามารถแบ่งตามหลักการทางเทคนิคได้ 3 แบบ
คือ ชุมสายเซอร์กิตสวิตชิ่ง (Circuit Switching) ชุมสายแมสเซจสวิตชิ่ง (Message Switching) และแพ็กเกตสวิตชิ่ง
(Packet Switching)
ชุมสายเซอร์กิตสวิตชิ่ง
หากระบบสำนักงานทั่วไปมีตู้ชุมสาย
PABX
หรือชุมสายโทรศัพท์ติดต่อภายใน
และต้องการนำคอมพิวเตอร์หรือเทอร์มินัลต่อเข้าหากันผ่านชุมสายโทรศัพท์ดังกล่าวนี้
หรือจะผ่านไปยังชุมสายขององค์การโทรศัพท์ฯ
ก็ถือว่าเป็นการสวิตช์ข้อมูลแบบเซอร์กิตสวิต ชิ่งการติดต่อแต่ละครั้ง ชุมสายจะทำงานเชื่อมโยงวงจรจากผู้เรียกไปยังผู้ถูกเรียก
ซึ่งเปรียบได้กับการเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้ทั้งสองโดยตรง
ในขณะนี้วงจรที่ใช้อยู่ผู้อื่นจะเรียกใช้ไม่ได้
การติดต่อระหว่างสถานีจึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่วงจรยังต่ออยู่
ในระบบนี้มีข้อเสียตรงที่หากคอมพิวเตอร์หรือเทอร์มินัลติดต่อกับศูนย์ข้อมูล
ในการเรียกค้นข้อมูลเป็นระยะจะทำให้มีช่วงเวลาที่สายสัญญาณไม่มีการใช้และผู้อื่นก็ใช้ไม่ได้
การติดต่อผ่านเซอร์กิตสวิตชิ่งจึงเหมาะกับการใช้สื่อสารข้อมูลที่มีการโต้ตอบกันตลอดเวลาด้วยปริมาณสูง
และการเชื่อมโยงอุปกรณ์ระหว่างสถานีต้นทางกับปลายทางต้องตกลงและใช้มาตรฐานเดียวกัน
ชุมสายเซอร์กิตสวิตชิ่งในระบบสำนักงานอัตโนมัติก็มีการใช้กันอยู่แล้วในกลุ่มจำพวกโทรศัพท์
โทรสาร หรือสื่อสารข้อมูลผ่านโมเด็ม ทั้งผ่านชุมสายภายในหรือชุมสายภายนอก
รูปแบบการติดต่อสื่อสาร ดังรูปที่ 4 การติดต่อสื่อสารข้อมูลนี้ผู้ใช้จะต้องมีระบบซอฟต์แวร์ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเอง
เพราะชุมสายจะไม่มีระบบตรวจสอบข้อมูลในชุมสายทำหน้าที่เพียงการสวิตช์วงจรให้เท่านั้น
รูปที่ 4 คอมพิวเตอร์ A ติดต่อกับศูนย์ข้อมูล B ผ่านชุมสายเซอร์กิตสวิตชิ่ง เช่นชุมสายโทรศัพท์
ชุมสายแมสเซจสวิตชิ่ง
พัฒนาการก้าวต่อมา
ชุมสายแมสเซจสวิตชิ่ง
เป็นระบบที่ใช้เทคนิคของการสื่อสารข้อมูลที่ให้ชุมสายมีความชาญฉลาดเพิ่มขึ้น
ชุมสายจะเสมือนเป็นคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลมาเก็บและส่งต่อผ่านออกไปที่เรียกว่า Stort
and Forward การติดต่อจึงไม่ต้องเชื่อมโยงวงจรจากสถานีต้นทางกับสถานีปลายทางอย่างจริงๆ
เหมือนกับเซอร์กิตสวิตชิ่ง
ผู้เรียกสามารถส่งข้อมูลออกไปยังผู้ถูกเลือกเส้นทางที่เหมาะสมได้
ก็จะส่งต่อไปยังชุมสายถัดไป และจะกระทำแบบนี้จนถึงผู้ถูกเรียก
จะเห็นว่ามีการหน่วงเวลาระหว่างผู้เรียกกับผู้ถูกเรยก
แต่ก็ทำให้การใช้สายภายในระหว่างชุมสายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และการติดต่อระหว่างผู้เรียกกับผู้ถูกเรียก
ก็มีการรับประกันเรื่องความถูกต้องข้อมูล
ทำให้ระบบเชื่อมต่อระหว่างสถานีอาจแตกต่างกันได้ เพราะชุมสายจะเปลี่ยนไป
ชุมสายแบบนี้จึงไม่เหมาะกับงานประเภทโต้ตอบทันที เพราะจะมีเวลาหน่วงในระบบสูง
และจะแปรตามปริมาณข้อมูล พัฒนาการแบบนี้ได้รับการนำมาใช้ในการส่งเทเล็กซ์ถึงกัน
ซึ่งเวลาหน่วงในระบบไม่ใช่ปัญหาสำคัญระบบสำนักงานอัตโนมัติจึงไม่นิยมใช้หลักการสื่อสารแบบนี้
สื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง
ระบบแลน
(LAN)
ที่ใช้ในสำนักงานที่ใช้ระบบบัส หรือทรี
จะมีการส่งข้อมูลในลักษณะนำข้อมูลมาแพ็กลงซอง จ่าหน้าซองแล้วส่งออกไปในบัส
สถานีปลายทางตรวจสอบพบซองที่จ่าหน้าถึงตนเองก็จะเก็บซองนั้นขึ้นมา
หากข้อมูลที่ส่งจากสถานีต้นทางไปยังสถานีปลายทางต้องผ่านหลายชุมสาย
ก็ใช้หลักการคล้ายระบบแมสเซจสวิตชิ่ง กล่าวคือ
ระบบจะเก็บข้อมูลและส่งต่อเช่นเดียวกัน แต่จะต่างกันตรงที่แพ็กเกต-สวิตชิ่งจะแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ
เรียกว่า แพ็กเกต แต่ละแพ็กเกตจะถูกทยอยส่งผ่านชุมสายจุดต่างๆ จนถึงปลายทาง
ซึ่งปลายทางก็จะรวมแพ็กเกตต่างๆ ให้กลับเป็นข้อมูลเดิมโดยสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
การที่ข้อมูลถูกแบ่งออกเป็นแพ็กเกตย่อย ทำให้ชุมสายไม่ต้องคอยรับข้อมูลทั้งหมดให้ครบก่อน
เป็นผลทำให้ลดช่วงเวลาหน่วงลง จึงทำให้ระบบนี้สามารถใช้กับงานแบบโต้ตอบทันทีได้
ข้อดีของชุมสายแบบแพ็กเกตสวิตชิ่งที่เห็นได้ชัดคือ อุปกรณ์ต้นทางกับปลายทาง
สามารถส่งด้วยความเร็วที่ต่างกันได้ เพราะชุมสายจะเป็นผู้แปลงสัญญาณ
ให้ความเร็วเข้ากันได้
มีการรับประกันความถูกต้องของข้อมูลที่รับส่งทำให้ระบบมีความเชื่อถือสูง
สามารถใช้ในระบบที่โต้ตอบด้วยความเร็วได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
โครงข่ายดังกล่าวนี้ทำให้ใช้งานพร้อมกันหลายๆ ระบบได้
โดยงานประยุกต์แต่ละระบบไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ใช้ผ่านชุมสายเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น